4 ปีผ่านไปในวัยอนุบาล (เตรียมอนุบาล-อนุบาล3) เร็วจริงๆ หากเป็นไปได้อยากบันทึกเหตุการณ์ทุกอย่างไว้ให้ปันได้รู้ตอนโตจริงๆ ทั้งสนุก ฮาเฮ เครียดบ้าง ปะปนกันไป แต่การเป็นพ่อคนแม่คนแล้วได้เห็นพัฒนาการของลูกทั้งทางการเรียน ทั้งร่างกาย และที่สำคัญคือการพัฒนาการทางจิตใจด้วย คงต้องขอบคุณโรงเรียนอนุบาลเชาวน์ดี ที่มีส่วนอย่างยิ่งในการสร้างสม อบรม บ่มเพาะ พัฒนาการต่างๆให้ปันได้อย่างดีแทบไม่ขาดตกบกพร่อง ประกอบกับการได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยมของคุณตาคุณยายประกอบกันด้วยยิ่งส่งผลให้ปันเป็นเด็กที่น่ารัก(พ่อแม่คิดเอง) ในระดับนึง
พูดถึงการอบรม บ่มเพาะของโรงเรียนแห่งนี้ มีปัจจัยหลายๆอย่างที่น่าเก็บเอามานั่งคิด พ่อไม่ค่อยสนใจเรื่องผลการศึกษาเท่าไร(แต่แม่สนมากๆๆๆๆ) พ่อกลับสนใจว่า ทำไมปันชอบไปโรงเรียน ปันรักโรงเรียน ปันจำเพื่อน และแก๊งค์รถโรงเรียนได้อย่างแม่นยำ จำในที่นี้คือจำในรายละเอียดเช่น บ้านเพื่อนคนนั้นทำอะไร เวลาขับรถผ่านถนนแถวๆฝั่งธนปันก็มักบอกว่าแถวนี้บ้านคนนั้นคนนี้เสมอๆตลอดจนจำได้ว่าเพื่อนคนไหนชอบกินอะไร คนไหนเรียนเก่ง คนไหนเล่นดนตรีเก่ง แบบชื่นชมเพื่อนอย่างจริงจัง (หากเป็นผมคงอิจฉาแหงๆ)
มานั่งคิดเท่าที่เคยเห็น เท่าที่ฟังเขาเล่ามา พอบอกได้บางอย่างว่ามันต้องไม่ใช่ดวงแน่ๆ ที่ปันเป็นแบบนั้น เพราะเด็กหลายคนก็เป็นเหมือนปัน แต่มันน่าจะเกิดจากการสร้างสภาพแวดล้อมผ่านกิจกรรมการเรียนรู้การเล่นของโรงเรียนที่มีมากมายหลายกิจกรรม จนพ่อที่ทำงานอยู่เมืองไทยประกันชีวิตต้นตำรับสโลแกนกิจกรรมมันเยอะยังต้องยอมแพ้ กิจกรรมต่างๆ มีเป้าหมายในการถ่ายทอดการกล่อมเกลาทางสังคมที่ดี
โรงเรียนแห่งนี้ไม่เคยบอกว่าใครได้ที่ 1 แต่พูดเสมอว่าเด็กๆทุกคนทำได้ และพยายามหาจุดแข็งของเด็กแล้วให้ทำสิ่งนั้นบ่อยๆ หลายๆกิจกรรมทำให้เด็กรู้จักการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ เช่นได้รู้ว่าเราได้แสดงแล้วก็ต้องแบ่งเพื่อนๆแสดงบ้าง เรียกได้ว่าแบ่งกันดัง บางกิจกรรมไม่คิดว่าจะมีในยุคนี้คือการเขียน เฟรนด์ชิพ และการเขียนเสื้อในวันสุดท้ายของการเรียนการสอน เรียกว่าวันอำลาเครื่องแบบอนุบาล(นั่นมันกิจกรรมเมื่อหลายสิบปีก่อนเลยนะนั่น) แต่เป็นการสร้างจุดเริ่มให้เด็กๆเกิดความรักความผูกพัน เพราะเขาต้องไปอยู่กันคนหมู่มากในอนาคต
โรงเรียนนี้ไม่เคยตำหนิลูกผมว่าซนเลย ทั้งๆที่ในครอบครัวคิดว่าปันโคตรซน แต่กลับให้กำลังใจพ่อแม่ตลอดมาว่าลูกเป็นเด็กมั่นใจต่างหาก (แต่คนละกรณีกับไม่มีกาละเทศะนะครับ โรงเรียนนี้ไม่ยอมแน่ๆ)
แปลกใจว่า ครูทุกคนที่โรงเรียนก็ไม่ใช่เจ้าของโรงเรียนแต่ทำไม ครูถึงสรรหากิจกรรมต่างๆมาให้เด็กตลอดเวลากิจกรรมแบบมีเป้าหมายด้วยนะเนี่ยไม่ใช่ให้เด็กสักแต่ทำเผาเวลาเล่นหรือแก้เด็กซนไปเรื่อยๆ กิจกรรมของที่นี่ จุดหมายพยายามให้เด็กทุกคนได้มีเวทีในการแสดงความสามารถหรือทักษะ ซึ่งแน่นอนว่าก็ต้องแทรกความรู้ไว้ด้วยแหละ (แต่ผมไม่สนใจเรื่องนั้น555) แถมมีการให้การยอมรับด้วยการติดแสดงของทุกคน ทั้งๆผลงานบางอันของลูกชายผมมันควรอยู่ในถังขยะมากกว่าแต่กลับได้รับการติดบอร์ดกับของเพื่อนๆ เรา(ผู้ปกครอง) อายแต่เด็กภูมิใจ คุณครูก็คอยพร่ำบอกเด็กเสมอๆว่ากิจกรรมคราวหน้าต้องแก้ไขตรงนั้นตรงนี้เรื่อยไป เด็กที่ทำได้ดีก็พยายามสร้างกิจกรรมซ้ำๆเพื่อสเริมจุดแข็งของเด็กอยู่เรื่อยๆ อันนี้คนทำงานอาชีพพัฒนาบุคลากรยังต้องไปศึกษางานเลย
4 ปีนอกจากปันเรียนรู้ ประสบการณ์ทางอ้อมก็สอนให้ผู้ปกครองพ่อแม่อย่างผมได้เรียนรู้ด้วยเช่นกันไม่ว่าจะดูแลเด็กอย่างไร ให้สอดคล้องกับแนวทางของทางโรงเรียน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาของลูก การเรียนรู้อะไรบ้างที่ได้รับในฐานะผู้ปกครอง ที่สำคัญๆคือ
1. การ feedback ในรูปแบบที่เด็กเข้าใจง่าย และได้กำลังใจ (อันนี้ทำยากมาก เพราะบางทีมันโมโหมากๆ) ไม่ว่าจะเรื่องดีก็ต้องเสริมแรงให้พฤติกรรมนั้นคงอยู่หรือเรื่องไม่ดี ที่ต้องหยุดพฤติกรรมนั้นก็ตาม
2. การทำซ้ำ หรือการฝึกฝนเป็นเรื่องสำคัญมากที่เด็กจะพัฒนาทักษะและความสามารถ – การทำซ้ำไม่จำเป็นต้องเหมือนเดิมเด๊ะนะครับ เปลี่ยนโจทย์บ้าง เปลี่ยนสถานที่บ้าง เปลี่ยนคำชมบ้าง เด็กก็จะไม่เบื่อ อันนี้ผมเห็นจากที่โรงเรียนให้ทำศิลปะ(ระบายสี)เยอะมากแต่หลายๆแบบ เช่นบนแก้วบ้าง บนกระดาษบ้างบนหมวกบ้าง จนลูกผมจากไม่ยอมวาดรูปจนวาดได้ วาดเป็น
3. รักจะให้พัฒนาอะไร การมีต้นแบบเป็นองค์ประกอบที่เสริมได้อย่างดีเยี่ยม คุณครูที่นี่เน้นเรื่องกริยามารยาทมาก และเป็นแบบอย่างที่ดี แม้เด็กจะทะโมนหรือซนแค่ไหน ก็จะมีท่วงทางกริยาเวลาอยู่กับคุณครูได้อย่างเรียบร้อยไ่ม่ว่าจะการไหว้ การพูดจา (แม้กับพ่อจะไม่เป็นก็ตาม555)
4.การจะให้เขาเรียนต้องให้เขารักถนนที่จะไปเรียน รักโรงเรียนที่จะไปเรียน รักเพื่อนที่จะไปเจอ รักคุณครูที่จะไปเจอ รักกิจกรรมที่จะไปเล่น แล้วเขาก็จะเรียนอย่างไม่รู้ตัว จริงๆอันนี้ก็คือการสอนแบบsolution based แต่คุณครูคงเห็นว่าเด็กๆ ยังไม่เห็นภาพหรือจินตนาการได้ว่าโตขึ้นแบบยาวๆ จะมีหน้าตาอย่างไรเลยเอาสิ่งที่เห็นภาพได้ชัดที่สุดมาเป็น ถนนที่จูงใจให้เด็กอยากเรียน
5.พ่อแม่อย่างผมมักลืมก็คือการให้เด็กมีชีวิตที่เป็นเด็กบ้าง เด็กเดินตามกรอบได้ แต่ต้องไม่เดินตามที่เราสั่งหรือต้องการ คุณครูใหญ่ พูดเสมอว่า เราแค่วางเป้าหมายที่จูงใจและตีกรอบ หากเขารักกรอบเขาจะไปตามเป้าหมาย และหากเขาเข้าใจเป้าหมายแล้วละก็ แป๊บเดียวก็พุ่งชนได้เอง (เพราะเป้าหมายมีไว้พุ่งชนนี่)
นั่นคือสิ่งที่พ่อแม่อย่างครอบครัวเราก็ได้เรียนรู้ตามลูกไปด้วย ทั้งนี้ทุกโรงเรียนก็มีข้อดี แตกต่างกันไป แต่ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการสร้างบุคลากรของประเทศในอนาคต เช่นกัน ดังนั้นเรียนที่ไหนก็มีคุณประโยชน์ทั้งสิ้น
สุดท้ายก็ขอขอบคุณอนุบาลเชาวน์ดีอีกครั้งที่ทำให้ลูกและครอบครัวเราได้ร่วมเรียนรู้ประสบการณ์ดีๆในการพัฒนาบุคลากรในอนาคตตลอดสี่ปีที่ผ่านมา
ครอบครัวปัน